(เมือง ไม้ขม สกู๊ป)  ภาคใต้ตอนล่างกับการพัฒนาเศรษฐ-การลงทุน “นิคมอุตสาหกรรมจะนะ”ต้องเร่งทำทันที่ ความยากจนของประชาชนไม่ใช่สิ่งที่ต้องรอหรือให้เอ็นจีโอเป็นผู้กำหนด

1_600x450

(เมือง ไม้ขม สกู๊ป)  ภาคใต้ตอนล่างกับการพัฒนาเศรษฐ-การลงทุน “นิคมอุตสาหกรรมจะนะ”ต้องเร่งทำทันที่ ความยากจนของประชาชนไม่ใช่สิ่งที่ต้องรอหรือให้เอ็นจีโอเป็นผู้กำหนด

 


เป็นที่แน่นอนว่าโรค”โควิค 19 ยังอยู่กับเราอีกนาน และเราต่างหากที่ต้อง ปรับทุกอย่างแบบ”นิวนอมอล” เพื่อที่จะให้สามารถอยู่กับ “โควิด 19. ให้ได้ เพื่อที่จะให้สามารถ “เดินหน้า” ในการ”ขับเคลื่อน” ทุก”องคาพยพ” ของประเทศไปให้ได้
การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจเปิดประเทศ ท่ามกลางความเสี่ยง ในวันที่ 1 เดือน พฤศจิกายน ที่จะถึงนี้ เพราะ ประเทศ ไม่มีทางเลือกอีกต่อไป นั้นคือ บ้านเมือง ต้องเดินหน้า ทุกอย่างต้องเป็นไปตาม”วิถี”ของธรรมชาติ เราจะปิดประเทศ ล็อกดาวน์เมือง ปิดหมู่บ้าน เพื่อรอให้ “โควิด 19.หยุดการระบาด หรือให้ตัวเลข”เป็นศูนย์” แล้วจึงค่อยกลับมา “ขับเคลื่อน”ประเทศไม่ได้แล้ว
โดยเฉพาะการ พัฒนาประเทศ ทุกโครงการที่ว่าจะเป็น เล็ก,ใหญ่ ที่หยุดชะงักไปร่วม 2 ปี ต้องเร่งรีบในการ “เดินหน้า” เพราะเราเสียเวลาไป 2 ปี ถือว่า มากพอในการทำให้ การพัฒนาบ้านเมืองเป็นไปด้วยความล่าช้า โดยเฉพาะในสภาวะที่ ประเทศ ถดถอยทางเศรษฐกิจ การลงทุน ซึ่งไม่แน่ใจว่า ต้องใช้เวลา 2 หรือ 5 ปี กว่าที่ สภาวะของการค้า การลงทุน จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ


สำหรับจังหวัดชายแดนภาคใต้ “โควิด 19 ได้ทำให้ เศรษฐกิจถดถอย การนลงทุนเป็นศูนย์ คนว่างงานเพิ่มสูง เพราะ โครงการต่างๆ ที่ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ทำการ”ขับเคลื่อน” อย่างเป็นมรรคเป็นผล โดยเฉพาะโครงการที่นักลงทุนจาก ต่างประเทศ ได้เข้ามาดำเนินการในเบื้องต้น ต้องหยุดชะงัก เพราะปัญหาของ”โควิด 19 ทั้งสิ้น
โครงการที่ยังมีการ”ขับเคลื่อน”ไปได้บ้าง ท่ามกลาง ปัญหาอุปสรรคของ”โควิด 19 คือ โครงการ”เมืองต้นแบบที่ 4 หรือ”เมืองอุตสาหกรรมแห่งอนาคต” ที่ อ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งมีข่าวความคืบหน้าปรากฎให้เห็นเป็นระยะๆ เช่นมีการทำแผนแม่บทของการ จราจร และ โลจิสติกส์ เพื่อรองรับการเติบโตของการค้าการลงทุน ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะ “นิคมอุตสาหกรรมจะนะ”โดยการทำ เอ็มโอยู ระหว่าง ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต.) กับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี และมหาวิทยาลับ เทคโนโลยีสุรนารี การทำเอ็มโอยู่กับ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ( มอ.หาดใหญ่ ) เพื่อให้เป็นผู้ รับฟังความคิดเห็น เพื่อลงรายละเอียดของโครงการว่า โรงงานอุตสาหกรรม ประเภทอุตสาหกรรม ในพื้นที่มีอะไรบ้าง และตั้งอยู่ตรงไหนของพื้นที่ ตามรายละเอียดของ กลุ่มทุน ที่เป็น เอกชน เจ้าของโครงการ เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เพราะหากขาดความรอบคอบ และไม่มีการศึกษาอย่างเพียงพอ อาจจะเกิดปัญหากับประชาชนในอนาคต


และอีกความคืบหน้าหนึ่งคือ องค์กรบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ( อบจ.สงขลา )ได้ดำเนินการว่าจ้าง ให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย สงขลา เป็นผู้ ออกแบบ เพื่อการรับฟังความคิดเห็นจาก คนในพื้นที่ อ.จะนะ ในภาพร่วม และในพื้นที่ 3 ตำบล ซึ่งเป็นที่ตั้งของ นิคมอุตสาหกรรมจะนะ ในการเปลี่ยนสีผังเมือง ตามกฎหมายผังเมือง ที่ต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากคนในพื้นที่ ซึ่งขณะนี้ มหาวิทยาลัย อยู่ระหว่างการออกแบบ เพื่อลงการพื้นที่ในการ รับฟังความคิดเห็น
แต่…การดำเนินการคงจะไม่ง่ายนัก เนื่องจากขณะนี้ เอ็นจีโอเจ้าเก่า หมอเจ้าเก่า และกลุ่มชาวบ้านกลุ่มเก่า ที่ค้านทุกอย่าง ทุกโครงการ ที่ถูกนำเข้ามาในภาคใต้ ได้มีการ”ออกโรง” ปลุกระดม โดยอ้างเรื่องของ”โควิด 19 ที่ยังมีการระบาดอยู่ ว่าทำไมรัฐจึงไม่รอให้ “โควิด 19 หมดไปก่อน แล้วค่อยดำเนินการ เปิดการรับฟังความคิดเห็น การเร่งรัดเพื่อรับฟังความคิดเห็นเป็นการ ทำตามความต้องการของ กลุ่มทุน หรือไม่


โดยข้อเท็จจริง วิธีการเปิดรับฟังความคิดเห็น มีด้วยกันหลายรูปแบบ อย่างน้อยก็ 5 วิธีการด้วยกัน ไม่จำเป็นที่ต้องต้อง จัดเวทีเพื่อให้ประชาชนมาครั้งละมากๆ ซึ่งเสี่ยงต่อการ”ติดเชื้อ” การจัดเวที ยิ่ง แยกย่อย ยิ่งน้อยคน และให้ถี่ๆขึ้น หรือ การประชุมกลุ่มแบบ”นิวนอมอล” ยิ่งได้ประโยชน์ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องรอให้”โควิด “ เป็นศูนย์ และค่อยจัด เพราะไม่สามารถเป็นไปได้ ถ้าจะคอยให้ “โควิด 19 หายไปก่อน และจึงมาเริ่ม”ขับเคลื่อน”การพัฒนาประเทศ นั่นหมายถึงการ”ซ้ำเติม” ประเทศให้ “บอบซ้ำ” และ แห้งตาย เร็วขึ้น
ปัญหาที่ เอ็นจีโอ ออกมา เคลื่อนไหวเพื่อคัดค้านการรับฟังความคิดเห็นเรื่องการ”เปลี่ยนสีผังเมือง” เพราะ เอ็นจีโอ และกลุ่มผู้ที่”เห็นต่าง” ไม่ต้องการให้ใช้วิธีการรับฟังความคิดเห็นแบบ”นิวนอมอล” แต่ต้องการให้มีการ ตั้งเวทีใหญ่ มีคนร่วมในเวทีแบบมาก แบบเปิดกว้าง เพื่อที่ เอ็นจีโอ จะได้ดำเนินการ แบบที่เคยทำสำเร็จ นั้นคือการใช้คน จำนวนน้อยที่”เห็นต่าง” ขัดขวางมิให้คนส่วนมากที่”เห็นด้วย” เข้าไปแสดงความเห็นด้วยในเวที เป็นการ”ล้มเวที” ตามที่ เอ็นจีโอ ทำได้ผลมาแล้วหลายครั้งในหลายโครงการ นั้นเอง
การพัฒนาเศรษฐกิจทั้งที่เป็นแบบ”แม็คโคร” และ”ไมโคร” ของ จังหวัดชายแดนภาคใต้ รอไม่ได้อีกต่อไป เพราะ สถานการณ์วันนี้ คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับผลกระทบมากกว่าคนในภูมิภาคอื่นๆ ที่หลังการลดจำนวนผู้ติดเชื้อ เศรษฐกิจ การค้า อาจจะ”กระเตื้อง” ขึ้นได้โดยเร็ว แต่สำหรับ จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่เหมือนกับภูมิภาคอื่นๆของประเทศ ถ้า ไม่มีการ “สร้างงาน” ในพื้นที่เพื่อให้มีการ”จ้างงาน” คนที่นี้ต้องเดินทางไป มาเลเซีย อย่างเดียว และ หลังการเกิดขึ้นของ โควิด 19 สถานการณ์การ จ้างงาน ของ ประเทศ มาเลเซีย ย่อมไม่เหมือนเดิม
รัฐบาล จึงต้องเร่งเดินหน้า ในการ “ขับเคลื่อน” โครงการ”เมืองต้นแบบที่ 4 ให้รวดเร็ว รอบครอบ รอบด้าน และ ไม่ปิดบังอำพรางข้อเท็จจริงของโครงการ โดยการให้ มหาวิทยาลัย ทั้งในพื้นที่ และ นอกพื้นที่ ซึ่งมีประสบการณ์ หลักวิชาการ ในการดำเนินการ เพื่อให้เป็นไปตามหลัก “ธรรมาภิบาล” และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ทั้งกลุ่มที่”เห็นด้วย” และ”เห็นต่าง” วันนี้ ไม่ใช่เวลาที่จะมา”รีรอ” เพื่อให้ สถานการณ์ของ”โควิดจบก่อนแล้วค่อยดำเนินการ เพราะตามที่กล่าวมาแต่ต้นคือ “เราต่างหากที่ต้องรู้จัดที่จะอยู่กับโควิด 19 ให้มีความปลอดภัย “ และ ดำเนินการทุกอย่างให้เดินหน้าไปได้
ถ้า รัฐบาลต้องการที่จะแก้ปัญหาประเทศชาติจริง ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องการที่จะ”อยู่ยาว” เพื่อเป็น นายกรัฐมนตรีอีก 5 สิ่งที่ต้องมีคือ”แผนงาน” และ”ผลงาน” โดยต้องกล้า”ขับเคลื่อน” ทุกโครงการใหญ่ ที่สามารถ นำประเทศให้พ้นจาก”หลุมดำ” ที่เป็น “กับดัก” ทางเศรษฐกิจให้เป็นผลสำเร็จ และสิ่งแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีต้องมีคือ ความกล้า กล้าที่จะไม่ เกรงกลัว เอ็นจีโอ และผู้ที่”เห็นต่าง” เพียง”หยิบมือ” เพื่อ ขัดขวาง การพัฒนาประเทศ ที่เป็นความต้องการของคนส่วนใหญ่
แต่….ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ยัง เกรงกลัว ต่อการ เคลื่อนไหวของ เอ็นจีโอ เกิดอาการ”ยึกยัก” กล้าๆกลัว ในทันที่ที่ เอ็นจีโอ ออกมาประท้วง อย่างว่าแต่อยู่ใน 5 ปี ต่อให้อยู่ในตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี”อีก 10 ก็พัฒนาประเทศให้”มั่นคง มั่งคัง” ไม่ได้

 

You may have missed